8 จุดที่ควรตรวจเช็คสภาพรถก่อนออกเดินทางไกล

การเช็คสภาพรถไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิด คุณสามารถตรวจเช็คแบบคร่าวๆ ได้ด้วยตนเอง หากมีจุดไหนที่ไม่พร้อมหรือเกิดความผิดปกติ อีกทั้งสภาพอากาศในตอนนี้ที่ฝนตกค่อนข้างบ่อย อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ดังนั้นจึงต้องหมั่นตรวจเช็คสภาพรถยนต์อยู่เสมอ คุณจะได้รู้ล่วงหน้าก่อนที่มันจะลุกลามกลายไปเป็นปัญหาใหญ่ และเผื่อมีเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นต้องใช้งานจะได้ไม่มีปัญหามากวนใจที่ทำให้การเดินทางของคุณหมดสนุกและต้องเสียเงินเสียทองไปกับการซ่อมครั้งใหญ่ ไม่ว่ารถยนต์คันที่ขับจะมีสภาพเก่าหรือใหม่ การใช้ขับขี่เดินทางควรมีการตรวจเช็คสภาพรถอย่างละเอียด ลองมาดูกันมีอะไรที่ต้องตรวจสอบบ้าง
สารบัญเนื้อหา
เช่ารถบัสรับส่งพนักงาน มีความจำเป็นไหม
จุดที่ 1 : แบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการสตาร์ทเครื่องยนต์ มี 3 แบบ ได้แก่ แบบน้ำ แบบแห้ง และแบบกึ่งแห้ง ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบน้ำจะต้องเติมน้ำกลั่นและได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นประจำ เพราะเมื่อใช้ไปสักระยะ น้ำที่อยู่ภายในจะระเหยออกไป จึงต้องคอยเติมอยู่เสมอไม่ให้ขาดและอย่าเติมล้นเกินไป เพราะเมื่อน้ำเดือด กรดจะล้นออกมากัดขั้วหรือตัวถังรถได้
ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งไม่ต้องดูแลอะไรมาก แต่แบตเตอรี่แบบแห้งแท้ ๆ ราคาค่อนข้างสูงและอายุการใช้งานจะสั้นกว่าแบบน้ำ แบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือ แบตเตอรี่แบบกึ่งแห้ง ซึ่งจะต้องเติมน้ำกลั่นปีละ 1-2 ครั้ง หากเราละเลยไม่เติมน้ำกลั่นก็จะทำให้แบตเตอรี่เสียหายและรถสตาร์ทไม่ติด
ควรตรวจดูสภาพของแบตเตอรี่ว่าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่ หมั่นทำความสะอาดคราบขี้เกลือที่ขั้วแบตเตอรี่ ตรวจสอบความแน่นของขั้วและฉนวนหุ้มสาย เช็คระดับน้ำกลั่นให้อยู่ในระดับที่กำหนดและเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และอย่าลืมเช็ควันหมดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่เพื่อให้แน่ใจว่ายังใช้งานได้ดีอยู่หรือไม่ หมั่นสังเกตอาการ ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มสตาร์ทติดยาก แบตเตอรี่อาจหมดอายุการใช้งาน (โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานประมาณ 3 ปี) ให้เตรียมเปลี่ยนตัวใหม่ได้เลย
จุดที่ 2 : ล้อและยางรถยนต์
ล้อและยางรถยนต์เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน เป็นอีกจุดสำคัญที่ไม่ควรพลาด เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนหนึ่งเกิดจากยางระเบิดขณะขับขี่ ดังนั้น สิ่งที่ควรเช็ค คือ ความดันลมยาง รอยแตกของยาง และความลึกของดอกยาง
ยางทั้ง 4 ล้อ รวมทั้งยางอะไหล่ ต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ไม่รั่วซึม ไม่มีรอยแตก มีดอกยางเพียงพอ ส่วนล้อก็ควรอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่บิดเบี้ยว และที่สำคัญ ต้องเช็คให้แน่ใจว่ามีการขันน็อตล้อจนแน่นหรือไม่
วิธีเช็คลมยางรถยนต์ ให้เคาะยางดูว่าลมยางอ่อนหรือไม่ ลมยางของแต่ละล้อควรอยู่ในปริมาณที่พอดีตามที่คู่มือประจำรถกำหนด ถ้ามีล้อไหนลมหายไปเยอะผิดปกติกว่าเส้นอื่น ควรรีบหาสาเหตุและถ้ายางรั่วควรนำไปปะทันที ถ้าจะให้ดีควรเติมลมเพิ่มอีกสักหน่อยก่อนออกเดินทาง โดยเลือกปริมาณลมตามมาตรฐานของยางที่ใช้ คุณสามารถวัดปริมาณลมยางได้โดยใช้มาตรวัดลมยางที่มีให้บริการตามปั๊มน้ำมัน หรือจะซื้อหามาไว้ใช้เอง ปัจจุบันก็มีขายทั่วไปแล้วและราคาไม่แพง เช็คหน้ายางว่ามีรอยฉีกขาดหรือรอยแตกหรือไม่ และมีดอกยางเหลือมากน้อยแค่ไหน ถ้าหน้ายางมีรอยแตกมากหรือมีดอกยางเหลือน้อย สภาพยางไม่ไหวแล้ว แนะนำให้คุณเปลี่ยนยางเส้นใหม
จุดที่ 3 : น้ำมันเบรกและระบบเบรก
ระบบเบรกเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการขับขี่ทางไกล ถ้าเบรกมีสภาพไม่สมบูรณ์อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ควรสังเกตผ้าเบรกและเสียงเบรกว่าอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติหรือไม่ วิธีเช็ค คือ เหยียบเบรก แล้วฟังว่ามีเสียงดังผิดปกติหรือไม่ หากมี แสดงว่าผ้าเบรกอาจมีปัญหา ควรเข้าอู่ให้ช่างแก้ไขโดยด่วน
ในส่วนของน้ำมันเบรก ซึ่งมีระดับอยู่ระหว่าง Min กับ Max ถ้าในระดับปกติต้องไม่เกิน Max และไม่ต่ำกว่า Min แต่ถ้าเห็นว่าน้ำมันเบรกพร่องหายไป ควรรีบหาสาเหตุความผิดปกตินั้นทันที หรือนำรถไปให้ช่างผู้ชำนาญเช็คสภาพรถและแก้ไขทันที เพราะในความเป็นจริง ระบบเบรกเป็นระบบปิด น้ำมันเบรกจะไม่สามารถระเหยออกไปได้เอง เว้นแต่กรณีผ้าเบรกสึกหรือมีจุดรั่วไหล
จุดที่ 4 : ช่วงล่างของรถ
การตรวจสอบช่วงล่างของรถยนต์เป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะต้องมีเครื่องมือและอาศัยความชำนาญด้านช่างยนต์เป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีสุดสำหรับการตรวจเช็คช่วงล่างรถยนต์ด้วยตัวเองทำได้โดยสังเกตจากอาการที่บ่งบอกว่าช่วงล่างกำลังมีปัญหา ดังนี้
- การออกตัวรถและกำลังหยุดรถ ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง ถ้ามีเสียงดังกึกกักเบาๆ แสดงว่าบูชปีกนกอาจจะมีปัญหา
- เมื่อทดลองขับขี่บนถนนขรุขระจะมีเสียงดังกุกกัก แสดงว่าลูกหมากปีกนกอาจจะมีปัญหา
- เมื่อลองขับขี่บนถนนขรุขระแล้วรถสะเทือนขึ้นมาจนถึงพวงมาลัย แสดงว่าลูกหมากแร๊คอาจจะมีปัญหา หรือถ้าลูกหมากแร๊คแน่นอยู่แล้ว ยางรัดแร๊คอาจจะมีปัญหา
- เมื่อลองขับขี่บนถนนเรียบทางตรงแล้วพวงมาลัยมีอาการเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าบูชปีกนกอาจจะมีปัญหา
- เมื่อลองขับขี่ในทางตรง แต่รู้สึกได้ว่าล้อไม่ตรงและไม่สามารถควบคุมให้รถนิ่งได้ แสดงว่าลูกหมากแร๊คอาจจะมีปัญหา
- เมื่อลองขับขี่บนถนนขรุขระแล้วพวงมาลัยดึงและหลวม มีเสียงดังกุกกัก แสดงว่าลูกหมากคันชักอาจจะมีปัญหา
- โช๊คก็เช่นเดียวกัน ตรวจเช็คคราบน้ำมันบริเวณแกนโช๊คว่ารั่วหรือไม่ เพราะระบบช่วงล่างทั้งหมดมีผลต่อการทรงตัวขณะขับขี่
อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณความผิดปกติที่ไม่ควรนิ่งนอนใจ ให้รีบนำรถเข้าศูนย์หรืออู่ซ่อมรถเพื่อตรวจเช็คโดยด่วน อย่าฝืนใช้รถต่อไปเรื่อยๆ เพราะผลเสียหายจะไม่คุ้มเลย
สนใจเช่ารถบัส ติดต่อสอบถามข้อมูล
จุดที่ 5 : น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องช่วยหล่อลื่นให้เครื่องยนต์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ น้ำมันเครื่องที่ดีจะต้องผ่านการใช้งานไม่เกินระยะทางที่คู่มือกำหนด ระดับน้ำมันเครื่องจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งคุณสามารถตรวจเช็คได้จากก้านวัดน้ำมันเครื่อง
ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องอย่างส่ำเสมอ ทำได้โดยจอดรถให้อยู่แนวราบ เปิดกระโปรงรถ มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่อง แล้วดึงก้านวัดขึ้นมา ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่บนก้านวัด เสียบก้านวัดคืนจุดเดิมแล้วดึงขึ้นมาเพื่อเช็คอีกครั้ง ให้สังเกตแถบน้ำมันเครื่องที่ติดอยู่บนก้านวัด ควรอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แต่ถ้ามากหรือน้อยเกินไปควรเติมหรือลดน้ำมันเครื่องให้อยู่ในระดับปกติ
อย่าปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้งเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์อาจพังได้ และอย่าลืม ก่อนออกเดินทางไกล ควรมีน้ำมันเครื่องสำรองติดรถไว้อย่างน้อย 1 ลิตร เผื่อได้ใช้ในยามฉุกเฉิน
จุดที่ 6 : หม้อน้ำ ท่อยาง และระบบหล่อเย็น
ระบบระบายความร้อนถือเป็นหัวใจหลักอีกส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ เพราะถ้ามีความร้อนสะสมในขณะที่เครื่องยนต์ทำงาน บวกกับอุณหภูมิภายนอกที่ร้อน หากระบบระบายความร้อนไม่ดีหรือมีปัญหา อาจทำให้เครื่องยนต์น็อคได้
ดังนั้น คุณควรควรตรวจสอบระบบหล่อเย็นอยู่เสมอ เช็คระดับน้ำหล่อเย็นในหม้อพักและหม้อน้ำว่ายังมีน้ำอยู่ไหม เช็คว่าพัดลมหม้อน้ำและมอเตอร์ยังทำงานเป็นปกติหรือไม่ ตรวจสอบรอยรั่วของหม้อน้ำ ท่อยาง และข้อต่อต่างๆ หากตรวจพบว่ามีน้ำไหลซึม ควรรีบแก้ไขโดยด่วน แนะนำให้ตรวจเช็คน้ำยาหล่อเย็นในหม้อน้ำในตอนเช้าๆ ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ หรือเช็คในตอนที่เครื่องยนต์ไม่มีความร้อนดีที่สุด
ส่วนการสังเกตความผิดปกตินั้น ให้เปิดฝาหม้อน้ำหรือถังพักน้ำสำรอง ดูสีและสภาพว่ายังดูดีอยู่หรือไม่ ถ้าน้ำลดหายไป ควรเติมเข้าไปโดยใช้น้ำยาหล่อเย็น (Coolant) หรือใช้น้ำเปล่าสะอาดผสมกันในอัตราส่วน 50:50 ลงในหม้อน้ำจนถึงขีด Max (เฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น) และถ้าพบว่าสภาพน้ำมีสีคล้ายสนิม ควรเปลี่ยนถ่ายทันที รถบางรุ่นกำหนดระยะเวลาให้เติมน้ำยาหล่อเย็นทุกๆ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร บางรุ่นกำหนดไว้ที่ 100,000-200,000 กิโลเมตร หากมีการเช็คตามระยะอยู่เสมอ ระบบหล่อเย็นก็จะไม่มีปัญหา
จุดที่ 7 : ระบบไฟส่องสว่าง
คุณจำเป็นต้องเช็คระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณไฟต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง โดยเฉพาะในตอนกลางคืนหรือเมื่อขับขี่ผ่านจุดที่มีแสงน้อย โดยควรตรวจเช็คระบบไฟทุกส่วน ทั้งไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยว ไฟถอยหลัง ไฟตัดหมอก ไฟฉุกเฉิน ฯลฯ ต้องใช้งานได้ครบทุกจุด แสงต้องสว่างเต็มศักยภาพ ไม่ขุ่นมัว
วิธีเช็ค ให้ตรวจดูไฟส่องสว่างทุกดวงว่าอยู่ในสภาพใช้งานได้ปกติหรือไม่ หากจุดไหนไม่สว่างหรือติดๆ ดับๆ ควรรีบนำรถไปให้ช่างแก้ไข หรือหาหลอดใหม่เปลี่ยนเข้าไปแทน
จุดที่ 8 : เช็คเครื่องมือประจำรถ
ควรเตรียมเครื่องมือประจำรถไว้ให้พร้อม เช่น ล้อ-ยางอะไหล่ แม่แรง ชุดเครื่องมือในการถอดล้อ ที่เติมลมฉุกเฉิน สายพ่วงแบตเตอรี่ สายลากรถ ไฟฉาย แผ่นรองพื้นกันเปื้อน ผ้าเอนกประสงค์สำหรับเช็ดเบาะรถยนต์ (เผื่อว่ามีอะไรหกเลอะระหว่างทาง) ฯลฯ ซึ่งควรมีติดรถไว้ นอกจากจะช่วยให้คุณอุ่นใจยามเดินทางแล้ว บางครั้งยังได้แสดงน้ำใจช่วยเหลือรถคันอื่นที่ประสบปัญหาได้อีกด้วย
สรุป
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นเกี่ยวกับวิธีดูแลรถยนต์ของคุณก่อนเดินทางไกล หากพบอะไรผิดปกติก็จงอย่ารีรอที่จะแก้ไข อย่างไรก็ตาม หากเป็นเรื่องที่ไม่มีความรู้ความชำนาญหรือไม่แน่ใจ ควรนำรถยนต์ไปเข้าศูนย์หรือให้อู่ซ่อมรถที่เชื่อถือได้ช่วยตรวจเช็คจะดีที่สุด นอกจากนี้ ในช่วงวันหยุดยาว จะมีภาครัฐและเอกชนร่วมกันจัดตั้งจุดตรวจสภาพรถฟรีทั่วประเทศ คุณควรใช้โอกาสเช่นนี้ให้เป็นประโยชน์ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวคุณเองและเพื่อนร่วมทางทุกคน

DASH MV

สำหรับผู้ที่สนใจ
ทางเรามีบริการให้เช่ารถบัส
ทั้งแบบรายวัน และรายเดือน